วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559

งานทางด้านศาสนา

            สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้สร้างและปฏิสังขรณ์วัดไว้หลายแห่ง เมื่อครั้งที่ท่านยังเป็นที่จมื่นไวยวรนาถ ก็ได้ปฏิสังขรณ์วัดดอกไม้ซึ่งเป็นวัดร้างอยู่ในสวนแห่งหนึ่ง ไม่ห่างไกลจากบ้านที่ท่านอยู่ การปฏิสังขรณ์นี้ท่านได้ทำกับจมื่นราชามาตย์ (เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ หรือ ขำ บุนนาค) ซึ่งเป็นน้อยชาย แล้วกราบทูลขอคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายจากสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎให้ไปครองวัดนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังทรงผนวชก็ได้เสด็จไปวัดนี้เสมอ และใช้เป็นที่ทรงศึกษาภาษาอังกฤษร่วมกับจมื่นไวยวรนาถ วัดที่ปฏิสังขรณ์ใหม่นี้ รัชกาลที่ 4 ได้พระราชทานนามให้ใหม่ว่า “วัดบุปผาราม” ภายหลัง พ.ศ. 2416 เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์พ้นจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินท่านมักไปพำนักอยู่ที่จังหวัดราชบุรี ณ จังหวัดนี้ ท่านได้สร้างวัดขึ้นแห่งหนึ่งใน พ.ศ. 2422 เป็นวัดประจำตระกูลของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานนามว่า “วัดสุริยวงษาวาส”

งานทางด้านวรรณคดี

           กิจจานุกิจของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ในสมัยที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินประการหนึ่งคือ ประชุมนักปราชญ์ทางภาษาจีนให้แปลพงศาวดารจีนออกเป็นภาษาไทย เพราะเห็นว่า เรื่องเหล่านี้มีคติสอนใจเหมาะสำหรับประดับสติปัญญานักปกครองหรือขุนนางทั่วไป เรื่องที่ได้แปลไว้ได้แก่ ไซ้จิ้น น่ำซ้อง ซวยงัก ซ้องกั๋ง ไต้อั้งเผ่า และอื่น ๆ อีกมากมาย

 




ที่มา
http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-1/chung_boonnak/06.html
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C_(%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87_%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84)

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559

งานด้านการก่อสร้าง


              ในรัชกาลที่ 3 จมื่นไวยวรนาถ (ช่วง บุนนาค) ได้รับมอบหมายให้ลงไปเป็นแม่กองสร้างป้อมที่บางจะเกร็ง เพื่อให้เป็นที่อยู่ของแม่ทัพที่เมืองสมุทรปราการ สร้างเสร็จใน พ.ศ. 2393 และพระราชทานนามว่า “ป้อมเสือซ่อมเล็บ”
              ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดให้สร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทขึ้น ภายหลังจากเสร็จกลับจากประพาสสิงคโปร์และชวา เมื่อ พ.ศ. 2419 แต่เดิมจะสร้างพระที่นั่งเป็นยอดโดม ใช้เสด็จออกขุนนางโดยต่อเนื่องกับพระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ และพระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ โดยมีท้องพระโรงกลางเป็นทางต่อเชื่อม การสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทนี้ สร้างเป็นตึกสามชั้น เจ้าพระยาภาษุวงษ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เป็นแม่กอง นายยอน คลูมิตธ์ เป็นผู้ออกแบบหลังคาเป็นยอดโดม แต่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้กราบบังคมทูลขอให้ทำเป็นยอดปราสาท ดังนั้นพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทจึงเป็นศิลปผสมผสานระหว่างศิลปไทยและยุโรป ซึ่งเรียกกันตามสามัญว่า “หัวมงกุฎ ท้ายมังกร”

งานทางด้านวิทยาการสมัยใหม่

        สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ให้ความสนใจในวิทยาการสมัยใหม่ที่พวกมิชชันนารีนำเข้ามาเผยแพร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับด้านสถาปัตย์กรรม วิชาการช่าง และเทคนิคต่าง ๆ ตามแบบอย่างตะวันตก ที่สำคัญได้แก่

        1. การต่อเรือกำปั่น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เมื่อครั้งเป็นหลวงสิทธิ์นายเวรในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นผู้มีความสามารถในการต่อเรือโดยศึกษาจากมิชชันนารี ในขณะที่ติดตามบิดาไปอยู่ที่เมืองจันทบุรี ใน พ.ศ. 2378 หลวงสิทธิ์นายเวรได้ต่อเรือรบไทย (เรือกำปั่นรบ) ซึ่งเป็นเรือใหญ่ลำแรกในประเทศสยามที่ทำตามแบบฝรั่ง เป็นเรือบริกชนิดใช้ใบเหลี่ยมทั้งเสาหน้าและเสาท้ายสองเสาครึ่ง ตั้งชื่อเรือลำนี้ว่า เรือ “เอเรียล” (Ariel) หรือมีชื่อทางไทยว่าเรื่อ “แกล้วกลางสมุทร” หลวงสิทธิ์นายเวรได้นำเรือลำนี้ถวายรัชกาลที่ 3 เป็นที่โปรดปรานและพอพระราชหฤทัยมาก นอกจากนี้ยังได้ต่อเรือ “ระบิลบัวแก้ว” และยังได้ต่อเรืออื่น ๆ ที่จันทบุรีที่มีน้ำหนักขนาด 300-400 ตัน มีจำนวนมากกว่า 50 ลำ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้อำนวยการต่อเรือปืนที่เรียกว่าเรือ “กันโบต” ขึ้น 4 ลำได้แก่ เรือปราบหมู่ปรปักษ์ เรือหาญหักศัตรู เรือต่อสู้ไฟรีรณ และเรือประจัญปัจจนึก และต่อเรือกลไฟซึ่งได้แก่ เรืออรรคราชวรเดช และเรือเขจรชลคดี ขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 5 เรือที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ต่อขึ้นได้แก่เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ และเรือสุริยมณฑล

         2. การสร้างประภาคาร สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์มีความสนใจในการเรือมาตั้งแต่อยู่ในวัยหนุ่ม เมื่อเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ก็ยังคงสนใจในการเรือและมีกำลังอุดหนุนงานด้านนี้มากยิ่งขึ้น ท่านได้เล็งเห็นสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์ในการเดินเรืออย่างหนึ่ง คือ ประภาคารหรือกระโจมไฟ เวลานั้นในประเทศสยามยังไม่มีประภาคาร สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์จึงบริจาคทรัพย์ส่วนตัวสร้างประภาคารขึ้น เพื่อให้เป็นเครื่องหมายการนำเรือราชการและเรือสินค้าผ่านสันดอนเข้าออกได้โดยสะดวกที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยเริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ. 2413 เสร็จเรียบร้อยเปิดใช้ใน พ.ศ. 2417 สิ้นค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเงิน 18,021.25 บาท นับเป็นประภาคารที่สร้างขึ้นตามระบบมาตรฐานสากลดวงแรกของไทย ประภาคารแห่งนี้มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษปรากฏในแผนที่เดินเรือไทยหมายเลข 1 a ว่า Bar or Regent Lighthouse ส่วนชื่อภาษาไทยเรียกว่า “กระโจมไฟสันดอน” และใช้เป็นเครื่องหมายการเดินเรือมาเป็นเวลานานถึง 55 ปี กับ 22 วัน (เลิกใช้เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2472

         3. การทหาร ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงมีพระราชดำริที่จะจัดการกรมทหารอย่างยุโรปให้รุ่งเรืองขึ้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พระยาศรีสุริยวงศ์ จางวางมหาดเล็ก (ช่วง บุนนาค) ควบคุมบังคับบัญชาจัดขึ้น เรียกว่า “ทหารอย่างยุโรป” ให้กัปตันนอกส์เป็นครูฝึก มีโรงทหารตั้งอยู่ที่บ้านพระยาศรีสุริยวงศ์ ณ ฝั่งแม่น้ำด้านตะวันตก มีสนามฝึกหัดอยู่ข้างวัดบุปผาราม

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บทบาททางด้านการต่างประเทศ

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ตั้งแต่ครั้งยังเป็นหลวงสิทธินายเวร มีความคุ้นเคยกับชาวต่างประเทศมาก โดยเฉพาะมิชชันนารีอเมริกันที่เข้ามาอยู่ในไทย การที่ได้คบหาสมาคมกับมิชชันนารีนี้ ทำให้ท่านได้มีโอกาสศึกษาภาษาอังกฤษ และรู้ขนบธรรมเนียมของชาวตะวันตก หมอบรัดเลย์แห่งคณะอเมริกันคอมมิชชันเนอร์ ฟอร์ฟอเรน มิชชัน ได้กล่าวถึงหลวงสิทธินายเวรไว้ในบันทึกรายวันมีข้อความตอนหนึ่งว่า “...ท่าทางคมขำ พูดจาไพเราะมีอัธยาศัยดี...พวกมิชชันนารีได้ไปหาหลวงนายสิทธิยังบ้านของท่าน บ้านของหลวงนายสิทธินี้ หมอบรัดเลย์กล่าวว่าใหญ่โตงดงามมาก ที่หน้าบ้านเขียนป้ายติดไว้ว่า นี่บ้านหลวงนายสิทธิ ขอเชิญท่านสหายทั้งหลายที่บ้านหลวงนายสิทธินี้ พวกมิชชันนารีได้รู้จักคนดี ๆ อีกหลายคน ข้อนี้พวกมิชชันนารีรู้สึกชอบพอแลรักใคร่ท่านมาก... 
             สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เคยเกี่ยวข้องกับงานด้านการต่างประเทศมาตั้งแต่แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในคราวสงครามอันนัมสยามยุทธ์ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เมื่อครั้งเป็นจมื่นไวยวรนาถ หัวหมื่นมหาดเล็ก รับหน้าที่เป็นแม่ทัพหน้าคุมกำลังไปรบกับญวนที่เมืองบันทายมาศ (ฮา เตียน) โดยมีเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ (พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวในสมัยรัชกาลที่ 4) ทรงเป็นแม่ทัพคุมกองทัพเรือไปรบ 
ในด้านการติดต่อกับต่างประเทศนี้ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้รับความไว้วางใจจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาก ดังปรากฏในพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 3 ตอนหนึ่งว่า “...จมื่นไวยวรนาถเล่าก็เป็นคนสันทัดหนักในอย่างธรรมเนียมฝรั่ง... 
               ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อประธานาธิบดีซาคารี เทย์เลอร์ แห่งสหรัฐอเมริกาส่งนายโจเซฟ บาเลสเตียร์ เข้ามาขอแก้ไขสนธิสัญญากับไทย เมื่อ พ.ศ. 2392 จมื่นไวยวรนาถ (ช่วง บุนนาค) ซึ่งมีหน้าที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อยอยู่ที่เมืองสมุทรปราการได้มีส่วนได้มีส่วนในการต้อนรับทูตอเมริกันคณะนี้ และเป็นผู้ติดต่อระหว่างบาเลสเตียร์กับเสนาบดีผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ ถึงเรื่องการทำการเจรจากัน ตลอดจนการจะเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเมื่อลอร์ดปาล์มเมอร์สตัน รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษได้แต่งตั้งให้เซอร์เจมส์บรุ๊ค เป็นผู้แทนเข้ามาขอแก้ไขสนธิสัญญาเบอร์นีกับไทยใน พ.ศ. 2393 จมื่นไวยวรนาถภักดีศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้หนึ่งที่รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาในการตรวจร่างสัญญา และเป็นผู้รับร่างหนังสือของฝ่ายไทยไปเขียนลงกระดาษให้เรียบร้อยส่งตอบหนังสือของเซอร์เจมส์ บรุ๊ค  
                ต่อมาใน พ.ศ. 2398 เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียแห่งประเทศอังกฤษทรงแต่งตั้งเซอร์จอห์นบาวริง ผู้สำเร็จราชการประจำฮ่องกง เป็นราชทูตมาขอแก้ไขสนธิสัญญาเบอร์นี เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้รับมอบหมายจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้เป็นผู้หนึ่งในคณะข้าหลวงดำเนินการเจรจากับอังกฤษ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์มีบทบาทเป็นผู้ประสานการเจรจาระหว่างทูตอังกฤษกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ จนทำให้มีการลงนามในสนธิสัญญาบาวริงได้เป็นผลสำเร็จ 
ระหว่างการเจรจา เซอร์จอห์น บาวริง ได้บันทึกสรรเสริญเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ว่า เป็นผู้มีสติปัญญาและความสามารถยอดเยี่ยม มีความคิดก้าวหน้าและใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เมื่อเทียบกับบรรดาข้าราชการในสมัยนั้น ดังปรากฏข้อความในหมายเหตุประจำวันลงวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2398 ว่า “...ท่านผู้นี้ ถ้าไม่เป็นเจ้ามารยาอย่างยอด ก็เป็นคนรักบ้านเมืองจริง แต่จะเป็นเจ้ามารยาหรือเป็นคนรักบ้านเมืองก็ตาม ต้องว่าเป็นผู้มีความฉลาด ล่วงรู้กาลล้ำคนทั้งหลายที่เราได้พบในที่นี้ เป็นผู้มีกิริยาอัชฌาศัยอย่างผู้ดี และรู้จักพูดพอเหมาะแก่กาละเทศะ... 
และอีกข้อความหนึ่งในหมายเหตุประจำวัน ลงวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2398 ว่า 
“...นิสัยของอัครมหาเสนาบดีนั้นน่าสรรเสริญมาก...ท่านได้กล่าวแก่เราหลายครั้งว่า ถ้าเรามีความมุ่งหมายจะช่วยประชาชนให้พ้นความกดขี่และช่วยบ้านเมืองให้พ้นภาษีผูกขาด ซึ่งจะเอาประโยชน์ของบ้านเมืองไปเป็นส่วนบุคคลนั้น ก็จะช่วยเราเหนื่อยด้วย และถ้าทำการสำเร็จ ชื่อเสียงของเราก็จะเป็นที่ยกย่องต่อไปชั่วกาลนาน และบางคราวพูดอย่างโกรธเกรี้ยว ถ้าท่านผู้นี้มีใจจริงดังปากว่า ก็ต้องนับว่าเป็นคนรักบ้านเมือง และฉลาดเลิศที่สุดคนหนึ่งในเหล่าประเทศตะวันออก... 
                 ภายหลังที่ไทยทำสนธิสัญญากับนานาประเทศแล้ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์สนับสนุนให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงส่งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับอังกฤษและฝรั่งเศสตามลำดับ อันเป็นการเริ่มศักราชทางการทูตระหว่างไทยกับมหาอำนาจตะวันตกเป็นครั้งแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นการเพิ่มพูนสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับบรรดาชาติยุโรปและเอเชียให้กว้างขวางยิ่งขึ้นมาจนทุกวันนี้

บทบาททางด้านการเมืองการปกครอง

              ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเห็นการณ์ไกลว่า ต่อไปภายหน้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จะเป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ในหมู่เสนาบดี ดังจะเห็นได้จากพระบรมราชโองการตอนหนึ่งที่มีต่อพระยาศรีสุริยวงศ์ก่อนที่พระองค์จะสวรรคตว่า “...ที่สติปัญญาพอจะรักษาแผ่นดินได้อยู่ ก็เห็นแต่ท่านฟ้าใหญ่ ท่านฟ้าน้อย 2 พระองค์ ...การต่อไปภายหน้า เห็นแต่เอง (คือ พระยาศรีสุริยวงศ์) ที่จะรับราชการเป็นอธิบดีผู้ใหญ่ต่อไป การศึกสงครามข้างญวนข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ข้างพวกฝรั่ง ให้ระวังให้ดีอย่าให้เสียทีแก่เขาได้ 

               เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวรใกล้จะสวรรคต พระยาศรีสุริยวงศ์ได้มีส่วนเสนอความเห็นต่อเจ้าพระยาพระคลังว่าที่สมุหพระกลาโหม (ดิศ) ผู้เป็นบิดาว่า ควรจะสนับสนุนให้เจ้าฟ้ามงกุฎได้ขึ้นครองราชย์และมีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ต่อไป เพราะเป็นพระราชโอรสที่ประสูติแต่พระบรมราชินี บ้านเมืองจึงจะเป็นปกติต่อไป ซึ่งเจ้าพระยาพระคลังก็เห็นด้วย จึงกล่าวได้ว่า พระยาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการอัญเชิญเจ้าฟ้ามงกุฎมาทรงเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 
                ในสมัยรัชกาลที่ 4 ภายหลังที่ไทยทำสนธิสัญญากับนานาประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมอบอำนาจให้แก่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ทั้งทางด้านการเมือง การทหาร และการปกครองประเทศ เมื่อรัชกาลที่ 4 ทรงต้องการปรับปรุงบ้านเมืองให้ทันสมัยตามแบบอย่างชาวยุโรป ก็ได้ส่งเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์พร้อมด้วยพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร และพระองค์เจ้าชายสุประดิษฐ์ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ออกไปดูการต่างประเทศ ณ สิงคโปร์ใน พ.ศ. 2404 เพื่อดูแบอย่างการบริหารและการปกครองของอังกฤษนำมาปรับปรุงบ้านเมือง  จึงนัยได้ว่า เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้มีอำนาจอย่างกว้างขวางตลอดสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเมื่อรัชกาลที่ 4 จะเสด็จสวรรคต ก็ทรงฝากฝังและให้ท่านเป็นผู้พิจารณาว่า ควรจะมอบสมบัติให้แก่ผู้ใด และเมื่อเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ได้สนับสนุนให้เจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ซึ่งยังทรงพระเยาว์ได้เป็นกษัตริย์ จึงได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สมเร็จราชการแผ่นดินจนกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จะทรงมีพระชนมายุบรรลุนิติภาวะ นอกจากนี้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ยังเป็นแรงสำคัญในการสนับสนุนให้กรมหมื่นบวรวิชัยชาญ พระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล อำนาจอันยิ่งใหญ่ที่มีอยู่นี้ ถ้าเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จะคิดทรยศต่อราชบัลลังก์ โดยยกตนเองเป็นกษัตริย์ก็ย่อมจะทำได้ แต่ท่านหาได้มีความทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงเกินศักดิ์ไม่ หากแต่มีความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีเป็นอย่างยิ่ง คติประจำใจที่ท่านยึดถือไว้คือคำโบราณที่ว่า คำพระ คำพระมหากษัตริย์ คำบิดามารดา ใครลบล้างก็เป็นอกตัญญู 
                  เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์อยู่ในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินระหว่าง พ.ศ. 2411-2416 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกผนวชและทรงทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2416 แล้ว ก็โปรดเลื่อนบรรดาศักดิ์เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ มีสร้อยสมญาภิไธยตามจารึกในสุพรรณบัตรว่า สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ สมันตพงศ์พิสุทธิ มหาบุรุษยรัตโนดม บรมราชุตมรรคมหาเสนาบดี มหาสุริยมัณฑลีมุรธาธร จักรรัตนสหจรสุรศรขรรค์ วรลัญจธานินทร์ ปริมินทรมหาราชวรานุกูล สรรพกิจจานุกิจมูลประสาท ปรมามาตยกูลประยูรวงศ์วิวัฒน์ สกลรัชวรณาจักโรประสดัมภ์ วรยุติธรรมอาชวาธยาศัยศรีรัตนตรัยคุณาภรณ์ภูษิต อเนกบุยฤทธิประธิสรรค์ มหันตวรเดชานุภาพบพิตรหลังจากนั้นก็พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แต่คนทั่วไปยังคงเรียกท่านว่า ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเป็นหัวหน้าเสนาบดี มีหน้าที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ช่วยทำนุบำรุงบ้านเมือง อย่างไรก็ดีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ยังคงมีอำนาจและอิทธิพลยิ่งใหญ่ในประเทศสยาม ท่านได้ถือตรามหาสุริยมณฑล ได้บังคับบัญชาข้าราชการแผ่นดินทั่วพระราชอาณาจักรอย่างเป็นที่ปรึกษาที่สำคัญยิ่งในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และยังมีอำนาจสิทธิ์ขาดที่จะสั่งประหารชีวิตนักโทษขั้นอุกฤษฏ์ได้

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ 
(
ช่วง บุนนาค)




       สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีวงศ์มีนามเดิมว่า ช่วง บุนนาค เป็นบุตรชายคนใหญ่ของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) กับท่านผู้หญิงจันทร์ เกิดเมื่อปีมะโรง วันศุกร์ เดือนยี่ ขึ้น 7 ค่ำ ตรงกับวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2351 มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 9 คน แต่ในสุดเหลือท่านกับน้องอีก 4 คน คือ เจ้าคุณหญิงแข เจ้าคุณหญิงปุก เจ้าคุณหญิงหรุ่น และพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม) เท่านั้นที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่มาด้วยกัน 
        ตอนเยาว์วัยเด็กชายช่วง บุนนาค ได้รับการศึกษาจากวัดพอประมาณ ไม่ได้เล่าเรียนอักขรสมัยอย่างลึกซึ้ง แต่ได้อ่านและเรียนตำราต่างๆ จากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นที่เสนาบดีกลาโหมและเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศหรือกรมท่า ทำให้ได้ทราบเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับการเมืองมากขึ้น มีความเฉลียวฉลาด ปฏิภาณไหวพริบทวีขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะในกระบวนการเมืองและการติดต่อกับต่างประเทศ และภายหลังที่รับราชการในกรมมหาดเล็ก ก็ศึกษาภาษาอังกฤษและวิชาช่างจากมิชชันนารี จนสามารถต่อเรือรบ (เรือกำปั้น) ใช้ในราชการได้ 
        นายช่วง บุนนาค ได้ถูกบิดานำเข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่ออายุราว 16 ปี ครั้นถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เป็นนายไชยขรรค์ มหาดเล็กหุ้มแพร นายไชยขรรค์เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ต่อมาได้โปรดเลื่อนนายไชยขรรค์เป็นหลวงสิทธิ์นายเวรมหาดเล็ก ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า หลวงนายสิทธิ์ 
        หลวงสิทธิ์นายเวรรับราชการมีความดีความชอบมาก จึงได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นโดยลำดับคือ ใน พ.ศ. 2384 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ เลื่อนหลวงสิทธิ์นายเวรขึ้นเป็นจมื่นไวยาวรนาถหัวหมื่นหมาดเล็ก และในตอนปลายแผ่นดินรัชกาลที่ 3 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้า ฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็นพระยาศรีสุริยวงศ์ จางวางมหาดเล็กใน พ.ศ. 2393 ต่อมาในแผ่นดินรัชกาลที่ 4 พระยาศรีสุริยวงศ์ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ว่าที่สมุหพระกลาโหม กับโปรดให้สร้างตราศรพระขรรค์พระราชทานสำหรับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ขณะที่มีอายุได้ 43 ปี นับเป็นข้าราชการที่มีอายุน้อยที่สุดในตำแหน่งสมุหพระกลาโหม 
        ปรากฏว่า ตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง นุนนาค) เป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากในการปกครองประเทศสยาม โดยเฉพาะหลังจากที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงแก่พิราลัยและสวรรคตตามลำดับ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ยิ่งมีความสำคัญมากจนสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวเปรียบเทียบไว้ว่า “ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 เป็นเสมือนแม่ทัพแล้ว สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ก็เป็นเหมือนเสนาธิการช่วยกันทำงานมาตลอดรัชกาลที่ 4” ดังนั้นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงเป็นบุคคลผู้มีความสำคัญในการปกครองประเทศสยามเป็นอันดับที่ 2 รองจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
         ต่อมาถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา พระบาทวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ ราชาคณะ และที่ประชุมเสนาบดีจึงเห็นสมควรแต่งตั้งให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในรัชกาลที่ 5 ระหว่าง พ.ศ. 2411-2416 มีอำนาจอาญาสิทธิ์ที่จะปกครองประเทศ และประหารชีวิตผู้กระทำความผิดขั้นอุกฤษฏ์ได้ ต่อมาใน พ.ศ. 2416 เมื่อเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์พ้นจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน รัชกาลที่ 5 โปรดให้เลื่อนเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ถือศักดินา 30,000 
          เมื่อพ้นจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแล้ว สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรียวงศ์มักออกไปพำนักอยู่ที่จังหวัดราชบุรี สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ถึงแก่พิราลัยเมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2425 เวลา 5 ทุ่มเศษ บนเรือนที่ปากคลองกระทุ่มแบน สิริรวมอายุได้ 74 ปี 27 วัน รัชกาลที่ 5 โปรดให้ทำพิธีพระราชทานเพลิงศพของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์อย่างสมเกียรติ ณ วัดบุปผาราม ธนบุรี เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2427 
          เมื่อศึกษาถึงประวัติของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จะเห็นได้ว่าท่านเป็นอัจฉริยบุรุษผู้มีชื่อเสียงเด่นที่สุดในบรรดาสมาชิกทั้งหลายของตระกูลบุนนาค ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงของท่านจะเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวไทยว่า ท่านเป็นผู้มีอำนาจและอิทธิพลในการปกครองประเทศสยามในแผ่นดินรัชกาลที่ 4 และที่ 5 เท่านั้น แต่ท่านยังเป็นที่รู้จักกันดีในบรรดาชาวต่างประเทศตั้งแต่สมัยเมื่อท่านมีชีวิตอยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้